วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บริษัท Global advertising จะทำให้คุณเป็นหนี้

Global advertising  เป็นบริษัท ที่ขายอาหารเสริม ยี่ห้อ Herbalife (เอ่อ  ผมไม่ได้ว่า Herbalife ไม่ดีนะ แต่วิธีการทำงานของ global advertising มันเข้าข่ายหลอกลวง) ผมจะมาบอกประสบการณ์ที่เคยโดนมากับตัวเองให้รู้กันเพื่อให้เป็นข้อมูลก่อนจะ ตัดสินใจเข้าทำงานกับบริษัทนี้ เค้าจะให้ข้อมูลที่สำคัญกับเราไม่หมดนะ ย้ำให้ข้อมูลไม่หมด ทำให้ตัดสินใจผิดพลาดพอมาบอกอีกทีก็กลับใจลำบากแล้วเพราะเสียหายอย่างมาก ถ้าจะเลิกก็ยากอีกเนื่องจากนำเงินมาลงทุนเยอะแล้ว (บางคนต้องลาออกจากงาน หรือพักการเรียน เพราะคนในองค์กรแนะนำ) จึงได้นำข้อมูลที่เค้าปิดบังไว้มาบอกกันก่อน แต่ก็อาจเป็นงานที่เหมาะกับหลายๆคนนะ ...ไม่แน่ หัวหน้าองค์กรนี้เป็น ระดับ President team เป็นชาวต่างชาติ ชื่อไมเคิล (เฮงซวย)ชอบดูถูกคนอื่นอย่างมาก อายุ 24 ปี (ที่ปี ค.ศ. 2008) ไม่ใช่ไมเคิลโอจอห์นสัน นะอย่าเข้าใจผิด และมีทีมงานระดับหัวหน้าอีกหลายคน เช่น ซี นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย(บอกว่าปีสุดท้ายมาหลายปีแล้ว)  , หญิง , บอล , โกศล และอีกหลายคน ซึ่งแต่ละคน ตอแ...ล่ เก่งมากๆ โดยที่เค้าจะมี โฆษณา อยู่บนWebsite .........  รับสมัครงาน ส่วนอีกแบบลงว่าลดน้ำหนักอันนี้สำหรับลูกค้า เมื่อเข้าไปกรอกข้อมูลเค้าจะบอกว่าเป็นการทำงาน Internet (แต่จริงๆก็คืองานขายตรงซึ่งไม่ยอมบอกว่าเป็นงานขายตรง จะบอกว่าเป็นการทำงาน Internet เท่านั้น) แล้วนัดให้เราเข้าไปอบรม  บอกว่าทำงานเพียงวันละ 2 ชม./วัน (เราเชื่อที่เค้าพูดว่าเป็นอย่างนั้นจริง คงไม่โกหกกันหรอก ไม่น่าจะกระทบกับการเรียน และการทำงานมากนัก) ก็ตัดสินใจเข้าไปฟัง  ในการอบรมก็ไม่มีอะไร เป็นเพียงการแนะนำสินค้าของเค้า และโฆษณาว่ามีใครเกี่ยวข้องกับเค้าบ้างเพื่อให้น่าเชื่อถือ แต่จริงๆก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนักในเรื่องการขายของ ของแต่ละคน และมีการให้ลูกทีมขึ้นเวทีมาบอกว่ามีรายได้เท่าไหร่ (ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ถ้าจริงไม่รู้มีรายจ่ายสำหรับงานนี้ต่อเดือนเท่าไหร่ไม่ยอมบอก) และไม่บอกเรื่องค่าใช้จ่ายต่อเดือนด้วยว่าเท่าไรมีอะไรบ้าง (ขั้นต่ำ 20,000 บาทต่อเดือนที่ต้องจ่ายให้บริษัทนี้) จากนั้นจะนัดให้ไปอบรมอีกครั้งบอกว่าเป็นการอบรมที่สำคัญมากๆๆๆๆ ถ้าใครจะทำงานนี้ต้องไปถ้าไม่ไปก็ทำงานนี้ไม่ได้ (แต่ข้อมูลมันก็ไม่ได้แตกต่างจากที่อบรมไปเมื่อกี้เท่าไหร่) ต้องเสียค่าใช้จ่าย 500 บาท มีการโกหกด้วยว่าการอบรมครั้งนี้จะจัดที่ประเทศไทยในวันอาทิตย์นี้ ถ้าพลาดก็ไม่รู้ว่าจะมาจัดในประเทศไทยอีกเมื่อไหร่ (แต่เค้าก็จัดทุกวันอาทิตย์นั้นแหละ แล้วงานอบรมของคนใหม่ที่บริษัทนี้ก็ไม่เคยจัดต่างประเทศสักที) เมื่อผู้สนใจที่อยากทำงานได้ยินเช่นนี้ก็เกรงว่าจะเสียโอกาสในการทำงาน จึงต้องรีบตัดสินใจโดยไม่มีเวลาคิดให้รอบครอบ
เมื่อเข้าไปอบรมจะถูกการ สร้างภาพ และโน้มน้าวให้เห็นว่าทำได้ง่ายเพียงแค่เปิดดูรายชื่อใน E-mail แล้วโทรหาลูกค้า และส่งของไปให้เท่านั้น ใช้เวลาแค่ 2 ชม.ต่อวันก็พอ (แต่จริงๆแล้วมันมีอะไรซ่อนไว้อีกมากๆๆที่ไม่ได้บอกเรา) จากนั้นทาง Upline ก็จะชวนให้เราสมัคร เสียค่าสมัครพันกว่าบาท แต่ไม่บอกว่าต้องเสียค่ารายปีอีกประมาณสองพันกว่าบาท หลังจากนั้นก็ให้เราเลือกว่าจะทำเป็น Supervisor(Sup) หรือ Distributor(Dis) อันนี้เหมือนว่าจะเลือกได้นะแต่จริงๆไม่มีทางเลือกหรอก ทำไมน่ะเหรอก็เพราะว่าถึงแม้จะเลือกทำเป็น Distributor แต่พอทำไปสักพักก็จะถูกบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่นไม่ให้รายชื่อลูกค้า ,กดดันด้านต่างๆ เป็นต้น ทำให้เราเริ่มขายของไม่ค่อยได้ก็จำใจต้องทำคุณสมบัติเป็น Sup ซึ่งการทำคุณสมบัติที่ว่านี้จะต้องทำคะแนน 4,000 VP เป็นเงินมากกว่า 130,000 บาท หรือ 2,500 VP ต้องทำ 2 คนพร้อมกันในเดือนเดียวกันเป็นเงินคนละมากกว่า 85,000 บาท 2 คนรวมกัน 170,000 บาท (ราคานี้ยังมี Vat  7 % ที่ต้องจากเพิ่มอีก) แล้วก็ไม่บอกด้วยว่ายังมีค่าใช้จ่ายหลังจากที่เป็น Sup แล้วอีกเท่าไหร่(ขั้นต่ำ 20,000 บาท) แล้วถึงว่าเราบอกว่าขอทำงานเป็น Dis เพื่อเก็บเงิน และสร้างฐานลูกค้าก่อนแล้วค่อยทำคุณสมบัติเพราะตอนนี้ไม่มีเงิน ก็จะได้รับคำแนะนำวิธีหาเงินแทนที่จะทำตามแผนที่เราวางไว้ เช่นแนะนำว่าให้ไปกู้เงิน ,ทำบัตรเครดิต เป็นต้น เพื่อให้นำมาทำคุณสมบัติให้ได้ แล้วบอกว่าเมื่อเป็น Sup จะได้อะไรบ้าง แต่ไม่บอกว่าต้องเสียอะไรบ้าง เมื่อเรายอมเชื่อทำคุณสมบัติแล้วโดยการ ซื้อสินค้ารวม Vat 7% เป็นมูลค่ากว่า140,000 บาท ซึ่งตรงนี้จะทำให้ Upline ของเราได้รับรายได้จากการที่เราสั่งซื้อสินค้าเป็นหมื่น และนี้ก็เป็นเหตุที่ Upline ของเราพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้เราเป็น Sup ให้ได้ แม้ว่าเราจะสั่งซื้อสินค้า แล้วขายไม่ได้ก็ตาม (ไม่มีฐานลูกค้า) เมื่อ Upline ของเราได้ตามเป้าหมายของเค้าแล้วในส่วนนี้ ที่นี้เค้าก็จะเริ่มเผยไต๋ออกมาให้เรารู้อะไรบ้างแล้ว (เพราะเราลงทุนไปแล้วถึงรู้ก็เลิกทำไม่ได้อยู่ดี) อย่างเช่น ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาเป็นรายเดือนอย่างต่ำ 15,000 บาท หรือมากกว่านั้น ต้องจ่ายค่า Office ,ค่าโต๊ะ ประมาณ 5,000 บาท ต้องจ่ายค่าสมาชิกเป็นรายปีมากกว่า 2,000 บาท และยังมีรายจ่ายในการดำเนินการอีกมากมาย ซึ่งในความคิดเห็นของเรา เหมือนกับว่าเราทำงานต้องลงทุน และแบกรับความเสี่ยงเอง แต่ว่ารายได้ที่ได้ต้องนำมาให้กับทางบริษัทเกือบทั้งหมด กว่าจะขายให้ได้กำไร 20,000 บาท เน้นว่ากำไรนะ  ต้องลงทุนไปเท่าไหร่ ต้องลงแรง ต้องยอมรับภาระขาดทุน แต่กลับไม่ได้ใช้เงิน เพราะต้องมาจ่ายให้บริษัทนี้ และการทำงานนี้มากกว่า 20,000 บาทต่อเดือน เท่ากับว่าไม่มีเงินที่จะนำมาใช้จ่ายได้เลย แถมต้องเป็นหนี้อีกต่างหากเพราะกู้เงินมาทำคุณสมบัติแล้วแทนที่จะได้เงินมา คืนหนี้สิน แต่กลับต้องมาจ่ายให้กับบริษัทนี้ทุกเดือน แต่เราก็ต้องทำเพราะคิดว่าต้องหารายได้มาใช้หนี้ที่กู้ยืมมาก่อน ก็พยามยามทำไปแต่ก็สู้รายจ่ายไม่ไหว รายชื่อที่ได้มาก็ไม่แน่นอนมีชื่อที่ลงแกล้งไม่มีตัวตนจริง และรายชื่อที่ได้ก็น้อยมากไม่คุ้มกับเงินลงโฆษณา 15,000 บาทเลยทำให้ขาดทุนเรื่อยๆ จึงปรึกษากับ Upline และได้คำแนะนำมาว่าเรายังให้เวลากับงานไม่พอ ซึ่งปกติก็เข้าบริษัทสม่ำเสมอ และให้เวลากับงานนี้ 5 – 6 ชม.ต่อวันอยู่แล้ว แล้วถ้าอยากได้รายชื่อเพิ่มก็จ่ายเงินโฆษณาเพิ่มอีก และแนะนำให้เราพักการเรียน ถ้าเป็นคนที่ทำงานประจำจะให้ลาออกจากงานประจำ (มันเป็นกับดักให้เราไม่สามารถไปทำอย่างอื่นได้อีกต้องหารายได้ให้กับเค้า ตลอด อย่างคนที่เรียนไม่จบใครเค้าจะไปรับเข้าทำงานในตำแหน่งดีๆ เงินเดือนสูงๆบ้าง ถ้ามีบอกด้วยนะจะได้ไปทำต้องการด่วนเลย ฮา ฮา ฮา...) แต่ถึงแม้จะทำตามที่บอกก็ไม่สามารถนำเงินที่หาได้มาใช้จ่ายส่วนตัวต้องจ่าย ให้กับบริษัทนี้ และลงทุนเพิ่มอีก  ลืมบอกไปแม้ได้ตำแหน่งแล้วก้อต้องทำ ยอดรักษาตำแหน่งด้วยนะไม่ใช่ว่าได้แล้วจะได้ตำแหน่งไปตลอด เช่นได้ตำแหน่ง SUP ก็จะมีสถานภาพเป็น SUP ประมาณ 6 เดือนถ้าทำยอดไม่ได้ก็ถูกปลดเป็นสมาชิกธรรมดา ที่เค้าเรียกว่า Resup หรือ Reตำแหน่งอื่นๆ ก็ว่ากันไป ฉะนั้นถ้าไม่มีฐานลูกค้าที่จะขายได้ในยอดนั้นๆตลอด แต่สั่งของทำยอดเอาตำแหน่งอย่างเดียวก็เตรียมหาที่เก็บของไว้นอนกอดเล่นที่ บ้านได้เลยขายเท่าไรก็ไม่หมด และอย่างลืมสินค้าสำหรับบริโภคมันมีวันหมดอายุนะยิ่งเก็บไว้นานโอกาสที่จะ ขายได้ก็ลดลงทุกที ส่วนรายได้อีกทางก็คือการหลอกให้คนอื่นมาเป็น Sup ซึ่งก็คือ Down line ของเรานั่นเอง แล้วก็ต้องทำแบบ UP LINE ที่เคยทำกับเรา ถ้ายังมีจิตสำนึกของความเป็นคนอยู่ก็อย่าทำให้คนอื่นต้องมาเป็นหนี้แบบเรา เลยมันบาปมากๆนะ

ถ้าบริษัทนี้มีความจริงใจจริงๆ ก็ควรจะบอกรายละเอียดทั้งหมดให้ทราบตั้งแต่แรกไม่ใช่ว่ามาหลอกเอาเงินจากเรา ไปแบบนี้แล้วค่อยมาบอกกัน เจอกันวันแรกก็โกหกกันซะแล้วจริงใจมากๆเลย

ข้อมูล นี้น่าจะเป็นประโยชน์กับส่วนรวมนะครับอยากให้ช่วยกันนำไปเปิดเผยให้มากที่ สุดจะได้ไม่มีใครต้องมาเสียอนาคต หรือถูกหลอกลวงอีก

5 ความคิดเห็น:

  1. ไร้สาระ

    คุณนั้นแหละไรสาระ

    เราเปิดบริษัทบนความถูกต้องมา 5 ปีเต็ม

    ถ้ามันผิดกฎหมายจริงคงเปิดมาได้ไม่นานขนาดนี้หรอก

    อีกอย่างออฟฟิตเราตั้งบนตึกมาตรฐานทั้งนั้น ไม่ต้องมีออฟฟิตเล็กๆแอบๆซ่อนๆหรอก

    อีกอย่างเรามีพรีเซนเตอร์ชื่อดัง อั้ม แพนเค้ก เค้าคงฉลาดกว่าคุณนะ ที่จะเลือกรับงานเรา ??

    ใช้ Common Sense ง่ายๆ ก็น่าจะคิดได้นะคุณ

    ธุรกิจเราไม่ต้องไปโจมตีธุรกิจคนอื่นแบบคุณนะครับ ^^

    ตอบลบ
  2. เรียนคุณ Top นะ คุณนะแหละ หยุดเห่าหอนได้แล้ว คุณนะแหละพวกไร้สาระ
    คุณป้าผมก็เคยหลงโง่ไปกับคุณมาแล้วรอบนึงแล้ว แล้วไงละ ด่าเช็ดเลยสิครับ
    "เลวมาก" แล้วผมก็เกือบจะตกเป็นเหยื่อเหมือนกันด้วย แต่ หุหุ ไหวตัวทัน ก่อนจะซวยไปด้วยไง
    แล้วที่เจ้าของBlogนี้เค้าเขียนเนี่ย ผมขอยืนยันว่าเป็นความจริงตามที่กล่าวอ้างนะครับ เวรกรรมยุคนี้มันออนไลน์นะคุณ ยังไม่ทันไรเลยก็ กรรมตามสนองเข้าแล้วละครับ สาธุ (ไม่ได้แช่ง แค่พูดตามจริง)
    ขอขอบคุณ และยินดีอย่างยิ่งที่เจ้าของ Blog ได้จัดทำblogนี้ขึ้นมานะครับ เพื่อชาวโลกจะได้รู้สักที ฉลาดมากขึ้น รอบคอบมากขึ้น ว่าพวกตอแหลขยะสังคมอย่าง Global Advertising Co.,Ltd. มันมีอยู่จริงนะ

    ตอบลบ
  3. ไอสาระเลว top กุขอสาปแช่งพวกมิงทุกตัว ที่ทำงานหลอกลวงคนอื่น
    ขอสาปแช่งให้ครอบครัวพวกมิงจงชิบ หาย วอดวาย ล้มละลาย เป็นขอทาน ในที่สุดก็ช้ำใจตายอย่างอนาท ทั้งวงตระกูล

    ตอบลบ
  4. 5555
    แรงจริงอะไรจริง
    ผมก็ไม่เห็นด้วยกับธุรกิจแบบนี้หรอกครับ เพราะบางทีมันก็ค่อนข้างอำมหิตไปหน่อย ไม่งั้นผมคงทำปลาร้ากระป๋องละ1200มาให้คนลงทุนลูกโซ่รวยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เพราะธุรกิจแบบนี้มันไม่ได้มุ่งไปที่ตัวสินค้าซะหน่อยใช่ป่ะ แต่อยู่ที่วิธีการ ซึ่งจริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีตัวสินค้าก็ยังได้เลย อยากรวยทางลัดก็ต้องพูดให้คนยอมจ่ายเงินแล้วให้เขาไปเอาเงินคืนกะคนอื่น อะไรทำนองนั้น จะว่าไปมันก็แค่เล่เหลี่ยมทางธุรกิจประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ปัญหาของมันก็คือ มันค่อนข้างจะ "อำมหิต" ไปหน่อย เท่านั้นเอง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ถ้าผมเลือกได้ ผมก็จะยังไม่ทำอยู่ดี
    555

    ตอบลบ
  5. บริษัทก็เป็นหนี้ด้วยครับ
    http://goo.gl/Wn4NI

    ตอบลบ